ซื้อไปขายกลับ หรือที่เราเรียกกันว่า ซื้อคืน นั้น เป็นการทำธุรกรรมที่คล้ายคลึงกับ การขายฝาก แต่มีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกัน โดยหลักการคือ
- ผู้ขาย ต้องการเงินสดก้อนโตในระยะสั้น จึงนำทรัพย์สิน (เช่น ที่ดิน, บ้าน, รถ) มาขายให้กับ ผู้ซื้อ
- ผู้ซื้อ จะซื้อทรัพย์สินนั้นในราคาที่ตกลงกัน และมีข้อตกลงว่าในอนาคต เมื่อถึงกำหนดเวลาที่ตกลงกัน ผู้ขายสามารถซื้อทรัพย์สินคืนได้ในราคาที่สูงกว่าราคาที่ขายไปเล็กน้อย (เพื่อชดเชยดอกเบี้ยในตัว)
เหตุผลที่เลือก ซื้อไปขายกลับ
- ได้เงินสดเร็ว: ผู้ขายได้รับเงินสดทันทีที่ทำธุรกรรมเสร็จสิ้น
- รักษาทรัพย์สิน: ผู้ขายยังคงมีสิทธิ์ซื้อทรัพย์สินคืนได้ในอนาคต
- หลีกเลี่ยงการจดทะเบียนขายฝาก: ขั้นตอนการทำธุรกรรมอาจง่ายกว่าการขายฝาก
ข้อควรระวังในการทำธุรกรรมซื้อไปขายกลับ
- สัญญา: สัญญาต้องระบุรายละเอียดให้ชัดเจน เช่น ราคาซื้อขาย ราคาซื้อคืน ระยะเวลาในการซื้อคืน ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- ค่าใช้จ่าย: นอกจากราคาซื้อขายและราคาซื้อคืนแล้ว ผู้ขายยังต้องเตรียมค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าธรรมเนียมต่างๆ
- ความเสี่ยง: หากผู้ขายไม่สามารถซื้อทรัพย์สินคืนได้ตามกำหนด ผู้ซื้อจะถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นไป
ซื้อไปขายกลับ VS ขายฝาก
ข้อแตกต่าง | ซื้อไปขายกลับ | ขายฝาก |
การจดทะเบียน | จดทะเบียนเป็นการขาย | จดทะเบียนเป็นการขายฝาก |
สิทธิของผู้ขาย | มีสิทธิ์ซื้อคืนตามสัญญา | มีสิทธิ์ไถ่ถอนเมื่อชำระหนี้ครบ |
ความยืดหยุ่น | สัญญาสามารถตกลงกันได้หลากหลายรูปแบบ | มีกฎหมายกำหนดรูปแบบสัญญา |
สรุป
การซื้อไปขายกลับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเงินสดโดยเร็ว แต่ยังต้องการรักษาทรัพย์สินเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจทำธุรกรรม ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจเงื่อนไขสัญญาและป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
คำแนะนำเพิ่มเติม:
- เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย: เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยกับการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เพื่อเลือกวิธีที่คุ้มค่าที่สุด
- ศึกษาสัญญาอย่างละเอียด: ควรอ่านสัญญาให้เข้าใจทุกข้อความก่อนลงนาม
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหรือที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อขอคำแนะนำ