หมดหนี้เร็วขึ้น! วิธีรวมหนี้แบบมือโปร ไม่ให้จ่ายดอกเบี้ยแพงเกินไป ฉบับปี 2025

ในช่วงไม่กี่ปีหลัง ภาระหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณการลดลงเป็นระยะ แต่ระดับหนี้ยังสูงเมื่อเทียบกับ GDP ทำให้หลายครอบครัวกำลังมองหาทางออก — หนึ่งในทางเลือกที่นิยมคือ การรวมหนี้ (Debt consolidation) แต่การรวมหนี้มีทั้งข้อดี ข้อควรระวัง และทางเลือกอื่นที่เหมาะกับสถานการณ์แต่ละคน บทความนี้จะพาไล่ตั้งแต่พื้นฐาน วิธีทำ ขั้นตอนปฏิบัติจริง พร้อมอัพเดตมาตรการสำคัญของปี 2025 และแหล่งช่วยเหลือในประเทศไทย

 

สถานการณ์ภาพรวม (อัพเดต 2025)

  • สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยยังอยู่ในระดับสูง แต่มีแนวโน้มหยุดหรือชะลอการเพิ่มขึ้น — ข้อมูลไตรมาส 1/2025 ระบุสัดส่วนประมาณ 88%–89% ของ GDP (ตัวเลขแปรผันตามแหล่งข้อมูลและการปรับฤดูกาล) ซึ่งสะท้อนว่าหนี้ครัวเรือนยังเป็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่ต้องจัดการต่อเนื่อง
  • ในปี 2025 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออก ข้อกำหนดด้านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ฉบับใหม่ ประกาศเมื่อ 31 ม.ค. 2025 เพื่อกำกับการปล่อยสินเชื่อและลดความเสี่ยงหนี้ครัวเรือน ซึ่งมีผลนำไปสู่การปรับแนวปฏิบัติของผู้ให้กู้ทั้งธนาคารและผู้ประกอบการสินเชื่อรายย่อย
  • รัฐบาล/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการช่วยเหลือ ได้แก่ คลินิกแก้หนี้ สำหรับลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่เป็นหนี้เสีย และมีการหารือ/ประกาศโครงการซื้อหนี้เสียในระดับชาติ (การซื้อ bad household debt) เพื่อบรรเทาภาระผู้บริโภคในบางช่วงของปี 2025–2026

หมายเหตุ: ตัวเลขสัดส่วนหนี้ต่อ GDP และมาตรการอาจมีการปรับในรายงานไตรมาสต่อไตรมาส — หากนำบทความนี้ไปเผยแพร่ ควรอ้างอิงวันที่ของตัวเลข (เช่น “ข้อมูล ณ ไตรมาส 1/2025”) เพื่อความชัดเจน

 

รวมหนี้คืออะไร — รูปแบบหลัก ๆ ที่ควรรู้

การรวมหนี้ (Debt Consolidation) คือการนำหนี้หลายก้อน (เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อ) มารวมเป็นสินเชื่อหรือการชำระกับเจ้าหนี้เพียงรายเดียว โดยทั่วไปมี 3 รูปแบบหลัก:

  1. ขอสินเชื่อรวมหนี้ (Personal loan / Debt consolidation loan) — กู้สินเชื่อใหม่เพื่อนำไปปิดหนี้เก่า อัตราดอกเบี้ยมักต่ำกว่าบัตรเครดิต
  2. โอนยอดบัตรเครดิต (Balance transfer) — โอนยอดจากบัตรที่มีดอกแพงไปยังบัตรที่ให้อัตราช่วงโปรโมชั่นต่ำหรือ 0% ชั่วคราว

เข้าร่วมโครงการ/คลินิกแก้หนี้ (Debt clinic / debt relief program) — เป็นแนวร่วมระหว่างเจ้าหนี้กับหน่วยงานภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย และให้ผ่อนชำระในเงื่อนไขบรรเทา (เช่น โครงการของ ธปท. และคลินิกแก้หนี้). .bot+1

 

ข้อดีที่จับต้องได้ของการรวมหนี้

  • จ่ายที่เดียว ง่ายต่อการบริหารเงิน — ลดความซับซ้อนจากการมีบิลหลายชุด
  • อาจลดอัตราดอกเบี้ยได้ — ถ้าสินเชื่อรวมหนี้มีดอกเบี้ยต่ำกว่าบัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสด
  • ช่วยป้องกันการค้างชำระ/ปรับปรุงเครดิต — เมื่อจัดโครงสร้างและชำระตรงตามเงื่อนไข คะแนนเครดิตอาจฟื้นตัวได้
  • มองเห็นแผนจ่ายหนี้ชัดเจน — รู้จำนวนเงินงวดต่อเดือนและระยะเวลาที่ต้องจ่าย

 

ข้อควรระวังและข้อเสียที่ต้องไม่มองข้าม

  • ระยะเวลาผ่อนยาว = ดอกเบี้ยรวมมากขึ้น — หากขยายเวลาเพื่อให้ค่างวดต่ำ อาจจ่ายดอกรวมมากกว่าการจ่ายเร็ว ๆ
  • ค่าธรรมเนียมแฝง/ค่าปิดบัญชีก่อนกำหนด — ตรวจสอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดก่อนเซ็นสัญญา
  • อย่าสร้างหนี้ใหม่ — การรวมหนี้แล้วใช้บัตรหรือกู้เพิ่มจะทำให้สถานะแย่ลงกว่าเดิม
  • ต้องตรวจสอบเงื่อนไขการค้ำประกัน — บางสินเชื่อรวมหนี้อาจขอหลักประกัน (เช่น จำนองบ้าน) ซึ่งเสี่ยงหากผิดนัด

 

ทางออกหลายทาง (เมื่อมีหนี้หลายก้อน) — เปรียบเทียบและคำแนะนำ

  1. รวมหนี้เป็นก้อนเดียว (Debt consolidation loan)
    • เหมาะกับ: มีหนี้บัตร/สินเชื่อไม่กี่ก้อน โดยมีรายได้แน่นอนและเครดิตพอที่จะได้อัตราดอกเบี้ยต่ำ
    • ควรตรวจสอบ: อัตราดอกเบี้ยจริง (APR), ค่าธรรมเนียม, ระยะเวลา, เงื่อนไขผิดนัด
  2. เข้าร่วม “คลินิกแก้หนี้” หรือโครงการรัฐ/ธปท.
    • เหมาะกับ: หนี้ที่เป็น NPL (ค้างชำระเกิน 120 วัน) หรือยอดไม่เกินเกณฑ์ที่โครงการกำหนด — โครงการช่วยลดดอกเบี้ยเป็น 3–5% ต่อปี และผ่อนชำระได้ยาว (ตัวอย่างรายละเอียดโครงการดูได้จาก ธปท.). .bo
  3. เจรจากับเจ้าหนี้เดิม (Restructuring)
    • เหมาะกับ: ผู้มีความตั้งใจชำระ แต่ติดปัญหาชั่วคราว (เช่น งานลดชั่วโมง) — สามารถขอปรับแพ็กเกจผ่อน ปรับดอกเบี้ย หรือพักชำระบางงวดได้
  4. ขายทรัพย์สินบางส่วน / หารายได้เสริม
    • เหมาะกับ: ผู้ที่มีทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้หรือมีช่องทางหารายได้พิเศษ — เพื่อนำเงินมาโปะหนี้แรง ๆ ลดต้น
  5. การประกาศล้มละลาย / กระบวนการฟื้นฟู (ในกรณีสุดวิกฤติ)
    • เหมาะกับ: กรณีที่ไม่สามารถกลับมาผ่อนหรือไม่มีทรัพยากรเลย — ต้องพิจารณาเป็นทางสุดท้ายและขอคำปรึกษาทางกฎหมาย/การเงิน

 

ขั้นตอนปฏิบัติจริง — เช็คลิสต์ทำได้ทันที

  1. รวบรวมข้อมูลหนี้ทั้งหมด — ชื่อเจ้าหนี้, ยอดคงเหลือ, อัตราดอกเบี้ย, ค่างวด, วันที่ชำระ, สถานะ (ปกติ/ค้างชำระ)
  2. คำนวณรายรับ–รายจ่าย — หาเงินเหลือสุทธิต่อเดือนที่สามารถใช้จ่ายหนี้ได้ (ใช้ตารางงบง่าย ๆ)
  3. ประเมินตัวเลือก — เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการรวมหนี้ vs การชำระเดิม
  4. ขอคำปรึกษาจากคลินิกแก้หนี้/ที่ปรึกษาทางการเงิน — หากเป็นหนี้เสียหรือมีความสับสน ควรเข้าคลินิกแก้หนี้ที่ได้รับการรับรองหรือพบที่ปรึกษาการเงินที่เชื่อถือได้. debtclinicbysam.com+1
  5. อ่านสัญญาให้ละเอียดก่อนเซ็น — เงื่อนไขการปิดบัญชีก่อนกำหนด, ค่าธรรมเนียม, ผลกระทบจากการผิดนัด
  6. ตั้งกฎเหล็กการเงินส่วนบุคคล — หยุดใช้บัตรที่ไม่จำเป็น เปิดบัญชีที่แยกเก็บเงินฉุกเฉิน และกำหนดงบประมาณรายเดือน

 

ตัวอย่างกรณีศึกษา (สมมติ) — เพื่อเข้าใจง่าย

  • ผู้กู้มีหนี้บัตร 3 ใบ ยอดรวม 300,000 บาท อัตราดอกเฉลี่ย 18%
  • ถ้าขอสินเชื่อรวมหนี้ 1 ปี ดอกเบี้ย 10% อาจลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยรวม และจ่ายเพียงที่เดียวต่อเดือน

แต่หากเลือกขยายผ่อนเป็น 5 ปี ถึงดอกปีละ 8% ก็อาจจ่ายดอกรวมมากกว่าการปิดเร็ว ๆ — ดังนั้นอย่าตัดสินใจแค่ดูค่างวดต่ำสุด ควรคำนวณดอกเบี้ยรวม (total cost) ก่อน

 

แหล่งช่วยเหลือ และช่องทางติดต่อสำคัญ (ประเทศไทย — อัพเดต 2025)

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (Debt solution / คลินิกแก้หนี้) — ข้อมูลโครงการและเกณฑ์ผู้เข้าร่วม. .bot
  • คลินิกแก้หนี้ (SAM / Debt Clinic) — ช่องทางสมัครและคำแนะนำสำหรับหนี้บัตรเครดิต/สินเชื่อส่วนบุคคล. debtclinicbysam.com+1
  • สถาบันการเงินภาคเอกชน (ตัวอย่างธนาคารพาณิชย์/บัตรเครดิต) — ควรติดต่อเจ้าหนี้โดยตรงเพื่อขอปรับโครงสร้างก่อนใช้บริการรวมหนี้ของเอกชน
  • ข้อมูลเศรษฐกิจ & รายงานธปท./รายงานการเงิน — สำหรับผู้เขียนบทความหรือผู้อ่านที่ต้องการตัวเลขอ้างอิงอย่างเป็นทางการ ให้ตรวจสอบรายงาน Financial Stability / BOT reports. .bot+1

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: รวมหนี้แล้วจะส่งผลต่อคะแนนเครดิตไหม?
A: หากการรวมทำให้สามารถจ่ายตรงเวลา คะแนนเครดิตมีโอกาสฟื้น แต่การปิดบัญชีกับเจ้าหนี้เก่าและเปิดบัญชีใหม่อาจทำให้มีประวัติสินเชื่อใหม่ ซึ่งต้องบริหารต่อเนื่อง

Q: ถ้ามีหนี้เสีย (NPL) ควรทำอย่างไร?
A: ควรเข้าคลินิกแก้หนี้หรือขอคำปรึกษาจากหน่วยงานที่ได้รับการรับรอง — โครงการดังกล่าวสามารถช่วยปรับดอกเบี้ยและให้ผ่อนยาวให้สอดคล้องกับรายได้. .bot

Q: ควรรวมหนี้กับธนาคารหรือบริษัทเอกชน?
A: เลือกตามเงื่อนไขที่ชัดเจนและต้นทุนรวมจริง (ดอกเบี้ย + ค่าธรรมเนียม) — ธนาคารพาณิชย์มักมีเงื่อนไขโปร่งใสกว่า แต่ข้อเสนอเอกชนบางรายอาจเร็วกว่าหรือยืดหยุ่นได้มากกว่า — ต้องอ่านสัญญาให้ละเอียด

 

สรุปข้อแนะนำสำคัญ (Takeaways)

  1. รวมหนี้เป็นทางออกที่ได้ผล หากทำด้วยความเข้าใจตัวเลขทั้งหมด (ดอกเบี้ยรวม ค่าใช้จ่าย และระยะเวลา)
  2. ไม่ใช่ทางออกเดียว — สำหรับหนี้เสียหรือผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอน การเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้/ปรับโครงสร้างอาจเหมาะกว่า. .bot
  3. อ่านสัญญา และอย่าสร้างหนี้ใหม่ — นี่คือหัวใจของการกลับมาสู่สถานะการเงินที่ยั่งยืน
  4. ขอคำปรึกษาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ — ธปท., คลินิกแก้หนี้, ที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้รับอนุญาต

 

บทสรุปปิดท้าย

ในปี 2025 “การรวมหนี้” ไม่ได้เป็นเพียงวิธีลดภาระการชำระ แต่คือ “จุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูวินัยทางการเงิน”
เพราะแท้จริงแล้ว หนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย — แต่เป็นสัญญาณที่บอกว่าเราต้องจัดระบบชีวิตใหม่อย่างมีสติ

การรวมหนี้อาจช่วยให้ดอกเบี้ยน้อยลงและบริหารได้ง่ายขึ้น
แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ “ไม่กลับไปสร้างหนี้ซ้ำ” และเรียนรู้ที่จะวางแผนการใช้เงินอย่างยั่งยืน
ตั้งแต่การออมฉุกเฉิน การกันเงินก่อนใช้ ไปจนถึงการสร้างรายได้เสริม

วันนี้ “หนี้” อาจดูเหมือนภาระใหญ่
แต่ถ้าเริ่มต้นจัดการอย่างถูกวิธี — ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม
และความตั้งใจจริงในการปรับพฤติกรรมการใช้เงิน
คุณก็สามารถเปลี่ยน “หนี้” ให้กลายเป็น “บทเรียน”
และเดินหน้าสู่ชีวิตทางการเงินที่มั่นคงอีกครั้งได้แน่นอน 

 

บทความอื่นๆของเรา